‘คิม จอง อึน’ สั่งยึดสุนัขจากเจ้าของ มาทำอาหาร เนื่องจากประสบภาวะขาดแคลนขาดแคลน

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทุกประเทศต่างดิ้นรนเอาตัวรอดกันสุดๆ พอรอดแล้ว ก็จะไปช่วยประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตัวเองต่อ ในขณะที่ประเทศที่มีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นไม่ค่อยดี ก็น่าจะลำบากพอสมควร ผู้นำ เกาหลีเหนือ ‘คิม จอง อึน’ จึงออกคำสั่งสั่งยึดสุนัขทั้งหมดจากเจ้าของที่เลี้ยงไว้ ในกรุงเปียงยาง ท่ามกลางวิกฤติอาหารขาดแคลน จนผู้คนจำนวนมากคาดจะนำสุนัขเหล่านี้ส่งสวนสัตว์ หรือไม่ก็ร้านอาหาร

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563 สำนักข่าวสกาย นิวส์ และมิร์เรอร์ ได้รายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำประเทศเกาหลีเหนือ ได้ออกคำสั่งยึดสุนัขทั้งหมดที่มีเจ้าของเลี้ยงไว้ในกรุงเปียงยาง เมื่อเดือนกรกฏาคม ที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติการขาดแคลนอาหารในประเทศ
โดยหนังสือพิมพ์ในประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ในคำแถลงการณ์ของทางการเกาหลีเหนือ ระบุเหตุผลในการออกคำสั่งยึดสุนัขทั้งหมดในกรุงเปียงยางว่า การเลี้ยงสุนัขเป็นค่านิยมที่แปดเปื้อนจากอุดมการณ์คนชั้นกลาง ซึ่งเจ้าของมีสิทธิ์เลือกที่จะมอบสุนัขให้กับทางเจ้าหน้าที่ หรือให้เจ้าหน้าที่ทำการฆ่าสุนัขของพวกเขาเหล่านี้ทิ้ง
พร้อมกันนั้น เนื้อหาในแถลงการณ์ยังระบุว่า สุนัขที่ถูกมอบให้แก่ทางการนี้ จะถูกส่งต่อไปยังสวนสัตว์ของรัฐหรือถูกขายให้กับร้านอาหาร โดยในหนังสือพิมพ์ยังระบุว่า บรรดาเจ้าของสุนัขไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของทางรัฐบาลได้
ทั้งนี้ สุนัขส่วนใหญ่ที่เลี้ยงในกรุงเปียงยาง มักถูกครอบครองโดยกลุ่มชนชั้นนำและกลุ่มคนรวยภายในประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งทางการมองว่าการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนตัวแทน “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” และ “ทุนนิยม” เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่มีสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง และกลุ่มชนชั้นนำในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของประเทศเกาหลีเหนือ มักจะใช้สุนัขราคาแพงเป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมของพวกเขาเอง
ด้านผู้แปรพักตร์จากเกาหลีเหนือได้ตั้งข้อสังเกตกับคำสั่งครั้งนี้ว่า น่าจะเป็นการป้องกันประเทศจากแนวคิดทุนนิยม.

เกาหลีเหนือ กลายเป็นประเทศที่กำลังตกที่นั่งลำบาก
1. คนทั่วไปอาจสนใจข่าวการเมืองของเกาหลีเหนือในฐานะ ‘ตัวแสบ’ ของโลก แต่ในอีกด้าน ประเทศนี้ก็เป็นประเทศที่ ‘ยากจน’ มาก
เรียกได้ว่าเศรษฐกิจเกาหลีเหนือพึ่งพาการค้าขายกับจีนเป็นหลัก และสินค้าหลักๆ ก็จะเป็นพวกแร่ธาตุและผลิตภัณฑ์โลหะ หรือ ‘ขายทรัพยากรธรรมชาติ’ ซึ่งเป็นแนวทางพื้นฐานที่ทำให้เศรษฐกิจ ‘ประเทศเผด็จการ’ ดำเนินไปได้
ในทางกลับกัน สิ่งที่เกาหลีเหนือนำเข้าก็เยอะ (ซึ่งนำเข้าจากจีนเช่นกัน) ก็คือพวกเชื้อเพลิงและข้าว
ทีนี้ เศรษฐกิจเกาหลีเหนือก็ย่ำแย่ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะมีน้ำท่วมหนัก (นี่เป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ เพราะไม่มีภาพออกมาให้เห็นเลย) พอมาปีนี้เจอ โควิด-19 ก็ยิ่งหนัก
เพราะเกาหลีเหนือก็ ‘ปิดประเทศ’ อย่างสมบูรณ์ นั่นคือปิดประตูค้าขายกับจีน
2. เกาหลีเหนือไม่ค้าขายกับจีนจะเป็นอย่างไร?
ถ้าเรากลับไปดูสินค้าที่นำเข้าจากจีน จะเห็นว่าเป็นพวกอาหารกับเชื้อเพลิง ดังนั้นเกาหลีเหนือขาดอาหารแน่ๆ ถ้าไม่มีข้าวจากจีนเข้ามา
และมองย้อนไปปีที่แล้วที่เพิ่งน้ำท่วมหนักก็จะยิ่งเข้าใจว่าตอนนี้เกาหลีเหนือกำลัง “ไม่มีข้าวกิน” ในระดับประชาชนทั่วไป ซึ่งก็แน่นอนว่ามัน “ไม่เป็นข่าว” เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในเกาหลีเหนือ
การที่ประชาชนเกาหลีระดับล่างต้องอดมื้อกินมื้อไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเราก็คงเคยได้ยินกันมานานแล้วว่าประชาชนเกาหลีเหนือยากจนมาก แต่คราวนี้ เรียกได้ว่าความอดอยากยกระดับหนักขึ้น เพราะลามไปถึงการจับหมามากิน!

3. ก่อนจะไปต่อเรื่องการจับหมากิน เราควรทำความเข้าใจก่อนสองเรื่อง
หนึ่ง คนในคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่เหนือจรดใต้นั้น “กินหมา” มานานแล้ว ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องแปลกของภูมิภาคที่ “อดอยาก” มาแต่โบราณ ก่อนจะพัฒนาเป็นวัฒนธรรมและรสนิยมในการกิน ในขณะที่เกาหลีใต้ทุกวันนี้ หมาเป็นล้านตัวก็อยู่ในฟาร์มเลี้ยงหมาเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะในแต่ละปีอยู่
สอง ในประเทศที่กินหมา ทุกวันนี้หมาจะเป็น ‘ของแพง’ ไม่ใช่เนื้อถูกๆ เหมือนหมูไก่ปลา ดังนั้นคนจะกินก็ต้องมีฐานะ และหมาที่กินกัน ทั่วๆ ไปจะไม่ได้จับมาจากข้างถนน แต่เลี้ยงกันจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน ดังนั้นสำหรับคนในประเทศเหล่านี้ อย่างน้อยๆ เขาแยกได้ระหว่าง “หมาเลี้ยง” กับ “หมากิน”
ทีนี้ในเคสเกาหลีเหนือที่ขาดอาหารหนักๆ ช่วงเดือนกรกฎาคม 2020 ทางการเลยประกาศว่าต่อไปนี้การเลี้ยงหมาและสัตว์เลี้ยงใดๆ ล้วนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และผู้เลี้ยงสัตว์ต้องเอาสัตว์เลี้ยงมามอบให้กับทางการทันที โดยทางการเกาหลีเหนืออ้างว่าการมีสัตว์เลี้ยงคือ “ค่านิยมอันเสื่อมทราม” จากโลกทุนนิยม
4. ที่ว่านี้คือสิ่งที่ทางการอ้าง แต่นักวิเคราะห์ก็ประเมินตรงกันว่า ไม่ใช่เรื่องทุนนิยมอะไรหรอก แต่เกาหลีเหนือขาดแคลนเนื้อสัตว์มาก ระดับที่คนระดับสูงไม่มีเนื้อสัตว์กินเพียงพออีกต่อไป ก็เลยหาข้ออ้างเพื่อยึดหมาของประชาชนมากิน
ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าความอดอยากระดับยึดหมาประชาชนมากินนี่ดูจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะคนเกาหลีเหนือที่มีปัญญาเลี้ยงหมา ก็ต้องเป็นระดับ ‘ชนชั้นกลาง’ ซึ่งมีน้อยในสังคมแน่นอน ทางการเกาหลีเหนือก็ไม่ได้เกรงใจคนเหล่านี้อยู่แล้วตามประสารัฐเผด็จการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คงจะทำให้เราเข้าใจไม่ยากว่า ถ้าประเทศอดอยากระดับที่รัฐบาลจับสัตว์เลี้ยงของ ‘คนพอจะมีฐานะ” ในสังคมมาเพื่อเป็นอาหารของ “ชนชั้นสูง’ นี่ น่าจะไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว
อย่างไรก็ดี สภาวะจริงๆ ของเกาหลีเหนือว่าอดอยากขนาดไหนในตอนนี้?
จะมีหมากี่ตัวถูกริบไปเป็นอาหาร? ก็คงจะยังเป็นปริศนาเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ของประเทศนี้ต่อไป
ภาวะเศรษฐกิจในเกาหลีเหนือ
ปัจจุบัน GDp ของเกาหลีเหนือมาจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม 48% ภาคบริการ 30% และภาคเกษตรกรรม 22% ด้วยมูลค่าราว 970,000 ล้านบาท แต่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ดูเหมือนว่าเครื่องยนต์แต่ละตัวจะทำงานได้ไม่ดีนักจนเมื่อปลายปี 2562 คิมจองอึน ต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคแรงงาน เร่งวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
สำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก การเติบโตของเศรษฐกิจอาจพิจารณาโดยใช้ตัวเลข GDP แต่สำหรับเกาหลีเหนือ ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญจะถูกถือครองโดยรัฐ หรือแม้แต่ธุรกิจเอกชนหลายๆแห่ง ก็มักจะอยู่ภายใต้การจัดการของกองทัพ เพราะฉะนั้นการพิจารณาการเติบโต ของเศรษฐกิจเกาหลีเหนือ เราอาจจะพอดูได้จากการเติบโต ของงบประมาณส่วนกลางของประเทศ หากงบประมาณเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโดยภาพรวมของประเทศก็มีแนวโน้มจะดีมากกว่านั้น
การจะทำให้ประชาชนในประเทศอิ่มท้อง ก็ต้องเริ่มจากการเกษตรภายในประเทศ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ เกาหลีเหนือสร้างระบบ “กระจายอาหาร” บนแนวคิดง่ายๆ ว่า กลุ่มเกษตรกรทำผลผลิตส่งเข้ารัฐ แล้วรัฐก็แจกจ่ายให้กับประชาชนไปแบ่งกันอย่างเท่าเทียม
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็สามารถใช้งานได้ในช่วงแรกๆ ที่มีประชากรเพียงไม่ถึง 10 ล้านคน เมื่อเวลาล่วงเลยไป จากยุค 1950 มาถึงยุค 1990 ตัวเลขประชากรเกาหลีเหนือขยับเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน
แต่.. พื้นที่การเกษตรภายในประเทศยังเท่าเดิม พื้นที่ส่วนใหญ่ในเกาหลีเหนือจะเป็นภูเขาและไม่สามารถทำการเกษตรได้ จะมีพื้นที่เพาะปลูกได้ประมาณ 12 ล้านไร่เท่านั้น (น้อยกว่าพื้นที่การเกษตรในไทยประมาณ 6 เท่า)
จากข้อมูลของ UN พบว่าปริมาณอาหารที่ชาวเกาหลีเหนือแต่ละคนได้รับ ลดลงจาก 600-800 กรัมต่อวัน เหลือเพียง 312 กรัมต่อวันเท่านั้น ทีนี้เราย้อนกลับไปในช่วงที่ก่อตั้งประเทศใหม่ๆ ด้วยความที่เกาหลีเหนือมีสถานะเป็น “รัฐกันชน” เพราะตั้งอยู่ระหว่างเกาหลีใต้ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของสหรัฐอเมริกา กับประเทศจีน-สหภาพโซเวียต
เกาหลีเหนือจึงได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองชาติมาโดยตลอด มีข้อมูลระบุว่าตั้งแต่ช่วงปี 1950-1990 ทั้งสหภาพโซเวียต จีน และชาติสังคมอื่นๆ ปล่อยเงินกู้ยืมให้กับเกาหลีเหนือรวมกันมากถึง 200,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือก็ไม่ได้จะงอมืองอเท้าเพื่อรับเงินช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว เกาหลีเหนือในยุค 1960-1980 คือประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ทั้งการทำเหมือง อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักร และการรับจ้างผลิตให้กับทั้งจีนและโซเวียต
เนื่องจากข้อมูลนั้นไม่แน่ชัด เราจึงไม่สามารถทราบตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับยอดการซื้อขายแลกเปลี่ยน ระหว่างเกาหลีเหนือและสองยักษ์ใหญ่ได้ แต่ที่พอจะทราบคร่าวๆ ก็คือ ทั้งสองชาตินอกจากจะปล่อยเงินกู้ยืมแล้ว ยังให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านการซื้อขายสินค้า ช่วยรับซื้อสินค้าการเกษตร ขายน้ำมันราคาถูกให้
รวมถึงการจ้างงานโรงงานในเกาหลีเหนือ เพื่อผลิตสินค้าเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือได้อย่างยาวนาน จนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตมาถึง นั่นคือจะเปลี่ยนสำคัญ
เมื่อขาดความช่วยเหลือจากยักษ์ใหญ่หนึ่งราย ช่วงยุค 1990 จึงกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่สุดของเกาหลีเหนือ อาหารขาดแคลน ประชาชนอดอยาก ภาคการผลิตในประเทศไม่เดินหน้า ซ้ำร้ายด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง 4 ครั้งในรอบสิบปี
ในตอนนั้นมีรายงานว่า เกาหลีเหนือต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศเป็นหลัก จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 2000 ที่จีนเริ่มมีอำนาจมากยิ่งขึ้น ในที่สุดประเทศจีนก็ก้าวมาเป็นพี่ใหญ่ของเกาหลีเหนือได้อย่างเต็มตัว และนอกเหนือไปจากเงินช่วยเหลือที่ไม่เปิดเผยจำนวน การให้ความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ
จีนยังเป็นคู่ค้าสำคัญที่เกาหลีเหนือส่งออกผลผลิตไปขายได้เกือบ 90% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นรายได้ถึง 7,000 ล้านบาทต่อปี (แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากจีนและชาติอื่นๆ ที่เป็นเงินราว 70,000 ล้านบาทต่อปี แสดงว่าประเทศนี้ขาดทุน และน่าจะได้รับเงินช่วยเหลือมาโดยตลอด)
นอกจากการส่งออกไปจีนที่เป็นรายได้หลักแล้ว ปัจจุบันงานในประเทศเกาหลีเหนือถูกขับเคลื่อนด้วยการทหาร และการก่อสร้างเป็นหลัก จากข้อมูล มีตัวเลขที่ไม่ยืนยันแน่ชัดว่าเกาหลีเหนือทุ่มงบประมาณมากถึง 30-50% ของงบประมาณประเทศ ไปลงด้านการทหาร เพื่อให้เกิดการจ้างงานในกองทัพ การผลิตอาวุธ และการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ
นอกจากนี้ ยังเทงบประมาณบางส่วนไปยังการก่อสร้าง “เมกะโปรเจ็กต์” อย่างเช่น โรงภาพยนตร์ขนาดยักษ์ สวนน้ำ สนามบินเปียงยางแห่งใหม่ และศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในด้านการก่อสร้างนี้ ถูกสื่อฝ่ายตะวันตกบางแห่งโจมตีว่าเป็นการสร้างเพื่อภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้จริงๆ เช่นกัน
ปัจจุบันเกาหลีเหนือมีประชากร 25 ล้านคน ถูกประเมินว่ามีรายได้เฉลี่ยคนละประมาณ 3,500 บาทต่อเดือน นอกจากความลึกลับและโดดเดี่ยวอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ในบางรายงานยังจัดให้เป็นประเทศที่ยากจนที่สุด และเหลื่อมล้ำมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย…
Bloopers Movie Star มาตื่นตาตื่นใจกับการเข้าไปทำงานใน Hollywood ที่คุณจะพบกับตัวป่วนประจำกอง Hollywood ทั้ง 4 ตัวป่วน สนุกสนานไปกับการทำงาน เพราะ 4 ตัวป่วนและเจอเรื่องวุ่นๆไม่พักเลย ความแสนซนของเจ้าตัวป่วนจะทำให้คุณยิ้มไม่พักกันเลยทีเดียว
อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม : ศบค. เตรียมเสนอ ครม. ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถึงสิ้นเดือน ก.ย.