พายุโซนร้อน “นูรี”

พายุโซนร้อน “นูรี”
พายุโซนร้อน “นูรี” เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันที่ (14 มิ.ย. 63) พายุโซนร้อน บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 90 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหยางเจียง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 21.3 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.7 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กม/ชม พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 18 กม/ชม คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองหยางเจียง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนในวันนี้ (14 มิ.ย. 63)
สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศลาวตอนบน ส่งผลทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
ทำความรู้จัก พายุโซนร้อน นูรี(NURI)
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือน เกี่ยวกับ พายุโซนร้อน “นูรี” (Nuri) ที่คาดว่าจะกระทบทุกภาคของประเทศไทยในระหว่างวันที่ 13-16 มิ.ย. นี้ ดังนั้น เรามาทำความรู้จักพายุโซนร้อนลูกนี้กัน
พายุโซนร้อน หรือ Tropical Storm คือพายุที่ก่อตัวขึ้นเหนือน่านน้ำทะเลในมหาสมุทรแถบเส้นศูนย์สูตร มีความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง 64 ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 100 กิโลเมตร เป็นพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ระยะกลางที่มีกำลังมากกว่าพายุดีเปรสชัน (Tropical Depression) แต่ยังไม่พัฒนาจนมีระดับความรุนแรงเทียบเท่าพายุไต้ฝุ่น ไซโคลน หรือเฮอร์ริเคน
พายุโซนร้อนก่อตัวขึ้นเหนือผิวน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 26.5 องศาเซลเซียส เป็นพายุที่เกิดขึ้นเป็นประจำในมหาสมุทรแถบเส้นศูนย์สูตรของโลก มีรูปทรงของพายุหมุน แต่ยังไม่มีกำลังมากพอที่ก่อให้เกิดตาพายุที่ชัดเจนเหมือนพายุไต้ฝุ่นหรือเฮอร์ริเคน ความร้อนและความชื้นในอากาศเหนือน่านน้ำในมหาสมุทร
จึงเป็นปัจจัยหลักในการก่อตัวและทวีกำลังแรงขึ้นของพายุโซนร้อน และเมื่อพายุโซนร้อนเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งจึงมักอ่อนกำลังลง จนกลายเป็นเพียงกลุ่มเมฆหมุนวนหรือพายุดีเปรสชันก่อนจะสลายตัวไปในที่สุด เนื่องจากปะทะเข้ากับอุณหภูมิในอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ได้รับพลังงานจากความร้อนและความชื้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากการก่อตัวขึ้นของพายุโซนร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทรที่ห่างไกลชายฝั่ง พายุดังกล่าวมีโอกาสที่จะทวีกำลังแรงขึ้น จนสามารถพัฒนาไปเป็นพายุไต้ฝุ่นหรือเฮอร์ริเคนได้ในที่สุด
ที่มาของชื่อพายุ
สำหรับชื่อพายุนั้น มาจากการตั้งชื่อโดยกรมอุตุนิยมวิทยาของแต่ละประเทศ หรือหน่วยงานในแต่ละภูมิภาคที่จะสลับกันตั้งชื่อให้พายุอย่างเป็นทางการเพื่อสะดวกในการเรียกและเตือนภัย โดยจะตั้งชื่อเมื่อพายุดังกล่าวมีความเร็วลมสูงสุดเกิน 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือกลายเป็น “พายุโซนร้อน
โดยในแถบพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและทะเลจีนใต้ ประเทศไทยร่วมกับอีก 13 ประเทศสมาชิกในคณะกรรมการไต้ฝุ่นและองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม จะร่วมกันเสนอและตั้งชื่อพายุโซนร้อนที่ก่อตัวขึ้นในแต่ละปี
ชื่อ นูรี (Nuri) นั้นเป็นภาษามลายู (ภาษาราชการของมาเลเซีย) แปลว่า นกชนิดหนึ่งในตระกูลนกแก้ว ในอดีตเคยใช้ชื่อนี้เรียกพายุมาแล้ว 2 ครั้ง คือในปี 2551 และในปี 2557 ซึ่งเป็นพายุที่มีความแรงในระดับพายุไต้ฝุ่น แต่ในปีนี้ (2563) พายุ “นูรี” ได้เริ่มก่อตัวในทะเลฟิลิปปินส์ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลจีนใต้และเพิ่มความแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันและพายุโซนร้อน
ภาพถ่ายดาวเทียมของนาซาระบุว่า ขณะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะฮ่องกงวันนี้ (13 มิ.ย.) ความเร็วลมสูงสุดของพายุ “นูรี” อยู่ที่ 55.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง และคาดว่าจะเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น และทำให้เกิดฝนตกหนักทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮ่องกงในวันพรุ่งนี้ (14 มิ.ย.)
ขณะเดียวกันกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทย ได้ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง “พายุโซนร้อนนูรี” ฉบับที่ 4 เช้าวันนี้ (13 มิ.ย.) เตือนว่า พายุโซนร้อน “นูรี” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่ ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 116.0 องศาตะวันออก กําลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย. 2563 ลักษณะเช่นนี้ทําให้ในช่วงวันที่ 13-16 มิถุนายน 2563
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยจะมีกําลังแรงขึ้น ส่งผลทําให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง จึงขอให้ประชาชน บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทําให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก
ทั้งนี้ แม้พายุโซนร้อนจะมีความรุนแรงไม่มากเท่าพายุไต้ฝุ่นหรือเฮอร์ริเคน แต่พายุโซนร้อนก็สามารถสร้างความเสียหายในบริเวณกว้างจากปริมาณฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะในแถบพื้นที่ราบลุ่มและบริเวณที่ราบสูงตามเทือกเขาต่าง ๆ

จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
วันที่ 13 มิถุนายน 2563
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ยโสธร และอุบลราชธานี
- ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
- ภาคใต้: จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่
วันที่ 14 – 15 มิถุนายน 2563
- ภาคเหนือ : จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร ศรีสะเกษและอุบลราชธานี
- ภาคกลาง : จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
- ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
- ภาคใต้ : จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และภูเก็ต
วันที่ 16 มิถุนายน 2563
- ภาคเหนือ : จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร พิจิตรและเพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม
- ภาคกลาง : จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และนครปฐม
- ภาคตะวันออก : จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด
- ภาคใต้ : จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง และพังงา
บทความที่น่าสนใจ : ลิซ่า “Blackpink” ถูกอดีตผู้จัดการโกงเงิน
บทความที่น่าสนใจ : 50 ดาวรุ่งที่น่าจับตามองในปี 2020